
เม็ดซีก

เม็ดงา

เม็ดท่อนกลาง

เม็ดท่อนใหญ่
ผลิตภัณฑ์เม็ดมะม่วงหิมพานต์
สินค้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์- 1. เม็ดเกรดจัมโบ้ (AA) ขนาดไม่เกิน 40 เม็ด/ 100 กรัม
- 2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรด A ขนาดไม่เกิน 60 เม็ด/ 100 กรัม
- 3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรดรวม
- 4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ผ่าซีก
- 5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรดท่อนใหญ่ (A)
- 6. เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรดท่อนกลาง (เหมาะสำหรับทำขนมหรือเบเกอรี่ต่าง ๆ)
- 7. เม็ดมะม่วงหิมพานต์เกรดงา (เหมาะสำหรับทำขนมหรือเบเกอรี่ต่าง ๆ) พิเศษ!!! จำหน่ายในราคาโรงงาน มั่นใจได้ในคุณภาพ และความมีมาตราฐานของสินค้า ราคายุติธรรม การขนส่งรวดเร็ว สินค้ามีตลอดทั้งปีไม่มีขาด รับผลิต และบรรจุภายใต้ Brand ท่าน
- 1.เลือกซื้อวัตถุดิบ : การที่จะได้มาซึ่งเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่มีคุณภาพ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับแรกคือ การเลือกหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพราะวัตถุดิบที่ดีนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการได้มาซึ่งเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่มีคุณภาพดีด้วย ซึ่งทางบริษัทได้ทำการคัดเลือกแต่วัตถุดิบจากแหล่งที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานเท่านั้น
- 2.นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาตากแดดให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์แห้งสนิท (ประมาณ 4 - 5 แดด)
- 3.นำเม็ดมาต้มในอุณหภูมิ และเวลาที่เหมาะสม
- 4.กรรมวิธีผ่าเปลือกกระเทาะเม็ด ซึ่งขั้นตอนนี้ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะจะต้องใช้เครื่องมือ และบุคลากรที่มีประสบการณ์ เพื่อให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ได้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
- 5.นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ผ่านการกระเทาะเปลือกแล้ว เข้าตู้อบลมร้อนไม่ต่ำกว่า 15 ชม. ภายใต้อุณหภูมิ และเวลาที่เหมาะสม เพื่อที่จะทำให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ได้มีอายุการเก็บรักษาที่ยาว และเป็นการป้องกันเชื้อรา และมอดซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เม็ดมะม่วงหิมพานต์เสีย
- 6.ลอกเยื่อแดงที่ยังติดกับในส่วนของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกให้หมด
- 7.คัดแยกขนาด (Size) ตามมาตราฐานที่กำหนด
- 8. QC ตรวจสอบมาตราฐานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ตามเกณฑ์ที่กำหนดอีกครั้ง
- 9. ทำการบรรจุเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ผ่านมาตราฐานแล้ว ลงในบรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมส่งลูกค้าต่อไป
กรรมวิธีผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์
กว่าจะมาเป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้คุณเลือกซื้อกันนั้น จะต้องผ่านกรรมวิธี และกระบวนการต่าง ๆ มากมาย เพื่อที่จะทำให้ได้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ซึ่งวิธีการผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีดังนี้
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ของว่างเปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดพืชแหล่งโปรตีนและไขมันดีต่อสุขภาพที่หลายคนเชื่อว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังบางชนิดได้ เช่น โรคอ้วนลงพุง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น โดยส่วนที่นำมาบริโภคเป็นเนื้อในสุดของเมล็ด คนทั่วไปนิยมรับประทานเป็นของกินเล่นหรือใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารและขนมหวานต่าง ๆ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย เช่น วิตามินเค วิตามินอี วิตามินบี 6 ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ตลอดจนสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง จึงเชื่อว่าเมล็ดพืชชนิดนี้อาจมีสรรพคุณรักษาโรคได้ โดยส่วนอื่น ๆ ของต้นมะม่วงหิมพานต์ก็นำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานทางการแพทย์บางส่วนที่พิสูจน์สรรพคุณของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในแง่ของประโยชน์ต่อสุขภาพด้านต่าง ๆ ดังนี้
ลดความเสี่ยงจากโรคอ้วนลงพุง
อ้วนลงพุงหรือภาวะเมแทบอลิกซินโดรมเป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่มีภาวะหลายอย่างเกิดร่วมกัน ได้แก่ ไขมันในช่องท้องสูงกว่าปกติ ไขมันในเลือดผิดปกติ การเผาผลาญน้ำตาลผิดปกติ และความดันโลหิตสูง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เชื่อว่าช่วยเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดไขมันในเลือด และส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาล จึงเกิดงานวิจัยที่ศึกษาประสิทธิผลด้านการลดไขมันจากการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในกลุ่มอาสาสมัครชายหญิงที่มีระดับไขมันชนิดไม่ดีค่อนข้างสูงเป็นเวลา 28 วัน พบว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยลดระดับไขมันรวมและไขมันชนิดไม่ดี แต่ไม่ส่งผลต่อระดับไขมันชนิดดีและไตรกลีเซอไรด์เมื่อเปรียบเทียบกับการรับประทานมันฝรั่งทอด อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่าการบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่ใส่เกลือเป็นเวลา 8 สัปดาห์กลับส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของตัวบ่งชี้อื่น ๆ ที่ใช้ในการประเมินโรคอ้วนลงพุงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์หรือเมล็ดพืชชนิดใด ๆ
แม้ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจช่วยลดปัจจัยเสี่ยงบางด้านที่นำไปสู่การเกิดโรคอ้วนลงพุงได้ แต่งานค้นคว้ามักเป็นการทดลองขนาดเล็กและงานวิจัยบางส่วนก็มีผลลัพธ์ที่โต้แย้งกัน จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป วิธีดูแลตนเองให้ห่างไกลจากกลุ่มอาการอ้วนลงพุงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก และควบคุมการรับประทานอาหารไปด้วย
ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจเป็นภาวะผิดปกติที่กระทบต่อการทำงานของหัวใจ อาจก่อให้เกิดการเจ็บป่วยร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้ การดูแลสุขภาพหัวใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ เม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ดีต่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะมีสารอาหารสำคัญอยู่มาก เช่น ไขมันชนิดดี กากใยอาหาร โปรตีน รวมถึงกรดอะมิโนอย่างอาร์จีนีน (Arginine) โดยสารเหล่านี้อาจช่วยให้ผนังหลอดเลือดขยายตัว และลดการสะสมของไขมันชนิดไม่ดีที่อาจอุดตันหลอดเลือดหัวใจได้
มีงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ศึกษาผลการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทดลองในอาสาสมัครชายหญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลลัพธ์พบว่าการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วชนิดต่าง ๆ ประมาณ 84 กรัมขึ้นไป/สัปดาห์ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน อ้วนลงพุง และโรคเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ในขณะที่งานวิจัยขนาดใหญ่อีกชิ้นระบุว่าการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วอื่น ๆ อย่างน้อยวันละ 60 กรัม ช่วยลดระดับไขมันรวม ไขมันชนิดไม่ดี และไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าวศึกษาผลการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่วอีกหลายชนิด จึงยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันได้ว่าการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้โดยตรง ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป และผู้บริโภคควรรับประทานแต่ในปริมาณพอดี เพราะเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีแคลอรี่สูง หากรับประทานในปริมาณมากอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน